ตอนนี้เราต้องตั้งสติให้ดีครับ แล้วคิดวิธีรับมือกับปัญหาที่ละขั้นตอนครับ และคิดวิธีการที่มีความเป็นไปได้ ปฏิบัติได้ เพราะเรื่องบางเรื่อง แม้เราอยากให้เป็น อยากทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ในทางเป็นจริงมันทำไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์มันไม่สุกงอม การพยายามที่จะปลิดผลไม้ใดๆ ออกจากขั้วที่ยังไม่แก่พอ มีแต่แต่จะเกิดผลเสีย
ผมว่าตอนนี้ คนไทยแบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน คือ "คนในชุมชนหมู่บ้าน" และ "คนในชุมชนเมือง" ทั้งสองกลุ่มนี้มีกรอบวิธีคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน คนในชุมชนเมืองคือ "คนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่" แต่มีกลุ่มคนจนในชุมชุนเมืองที่เป็นคนชั้นล่าง ส่วน "คนในชุมชนหมู่บ้าน" คือ ชาวรากหญ้าทั้งหมด มีคนชั้นกลางเล็กน้อย เช่นพวกครู หรือข้าราชการที่ไปทำงานในระดับหมู่บ้าน
ประเทศไทยแบ่งออกเป็นแบบนี้ กระแสแนวคิดและความเข้าใจต่างๆ ตอนนี้ "มาจากชุมชนเมือง" เท่านั้น
หาก แบ่งตามฐานเลือกตั้ง "คนในชุมชนหมู่บ้าน" ยกเว้นภาคใต้ แล้ว เลือก พปช. แทบทั้งหมด มีบางเขตเท่านั้นที่เลือกตัวบุคคล พรรคอื่นๆ เช่นชาติไทย เป็นต้น
ส่วนในชุมชนเมืองอาจเลือก ปชป. เช่นใน กทม. แต่ คนพวกนี้ก็ไม่ได้เลือก ปชป. ทั้งหมด พวกเป็นกลางที่เรากำลังพูดกันคือ "คนในชุมชนเมือง" ที่ยังไม่เลือกข้าง ซึ่งหลายฝ่ายพยายามแย่งมาเป็นพวก แต่ผมไม่คิดว่าตรงนี้จะสำคัญนัก เพราะคนชุมชนเมือง มีประชากรเพียง 30% ของประเทศเท่านั้น และมีเฉพาะ กทม. เท่านั้น ที่เป็นเขตชุมชุนเมืองทั้งหมด มี สส.ได้ 37 คน แต่ที่เหลือคนชุมชนเมืองเวลาเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งจะไปทับซ้อนกับคนชนบท คนในสังคมหมู่บ้าน ทำให้พลังของชุมชนเมืองไม่มากนัก จะมีก็แต่ เชียงใหม่เท่านั้นที่เขตเทศบาล อาจมี สส.ได้ 1 คน ดังนั้น ผลกระทบต่อการเลือกตั้งของ “คนในชุมชนเมือง” มีไม่มากนัก แต่คนเหล่านี้เสียงดังผ่านสื่อเท่านั้นเอง
มวลชนส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่กับ พปช. การแย่งชิงมวลชน ทำได้แค่ในกลุ่มคนชั้นกลางเท่านั้น ในชนบท ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย เจาะเข้าไปไม่ได้ ตอนนี้ พปช./ทรท. คุมเสียงแทบทั้งหมดแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่ายุบสภา ยุบพรรค เราก็ยังไม่อับจนสิ้นหนทาง เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่ได้โดนยุบไปด้วย ฐานเสียงเรายังอยู่ แม้ "ผู้แทนของคนรากหญ้า" จะโดนสังหารทิ้งทางการเมืองไป แต่ คนรากหญ้า เข้าก็ส่ง "ผู้แทนชุดใหม่" มาสู้ได้อีก
การเมืองมันไม่ได้เป็นเรื่องของคนชั้นนำอีกต่อไป แต่มันคือการต่อสู้ของพลังระหว่าง “ชุมชนเมือง” กับ “ชุมชนหมู่บ้าน” การทำลายล้าง "ผู้แทนของประชาชนทั้งสองกลุ่มนี้ไม่มีผลอะไร เพราะเขาก็จะส่งผู้แทนชุดใหม่เข้ามาสู่สภาอีก
ภาพที่เราเห็นชัดเจนมานานคือ การเมืองในต่างประเทศ เช่นการเมืองของสหรัฐอเมริกา ผู้เลือกตั้งหรือประชาชนได้แบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน คือ พวก Democrat กับพวก Republican ประชาชนทั้งสองกลุ่มนี้จะหนุนพรรคการเมืองของตน ผู้แทนของทั้งสองพรรคนี้ ก็เหมือนตัวแทนของคนทั้งสองกลุ่มนั้น ดังนั้น แม้ว่าจะมีผู้มีอำนาจบารมีเพียงใด สังหารผู้แทนของ ประชาชนที่นิยม Democrat หรือ Republican ทิ้งหมด ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากนัก เพราะพวก Democrat หรือ พวก Republican ยังอยู่กันเต็มประเทศ พวกเขาก็จะส่งผู้แทนชุดใหม่ ที่ยังมีแนวคิดและนโยบายทางการเมืองเหมือนเดิมมาอีก การสังหาร หรือการตัดสิทธิ์ผู้แทนไม่ให้เล่นการเมือง จึงไม่มีทางกำจัดความขัดแย้ง การแตกแยกความคิดทาการเมืองได้
จงแปรความโกรธ ความเศร้า และความท้อแท้ให้เป็นพลังครับ
สังคม เรากำลังเปลี่ยนแปลง ถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจดึงให้คนส่วนใหญ่ของประเทศย้อนกับไปเหมือนเดิมได้ เหมือนลูกหลานที่โตแล้ว "ปู่ย่า" ทั้งหลาย ก็ต้องทำใจ ให้ลูกหลานเติบโตต่อไป จะดึงให้พวกเขาเป็นเด็กต่อไปไม่ได้แน่นอน
ขอเอาคำพูดหลวงวิจิตรวาทการ มาปลุกใจนะครับ
"ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง อุปสรรคคือความสำเร็จอันดีงาม
ชีวิตที่ไม่เคยประสพการต่อสู้ ย่อมเป็นชีวิตที่อ่อนแอ
คนที่ไม่เคยมีศัตรู ย่อมจะเป็นผู้เข็มแข็งไปไม่ได้
งานใดที่สำเร็จราบรื่นไปโดยไม่มีอุปสรรค ย่อมเป็นงานที่ไม่หนักแน่นและถาวร"
ประชาธิปไตย ที่ไม่ได้มาจากการต่อสู้ของประชาชน ย่อมเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เข็มแข็ง ประชาชนย่อมไม่ห่วงแหนมัน เพราะมันได้มาโดยง่าย ประชาธิปไตยที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาอย่างยากแค้น เลือดตาแทบกระเด็น ย่อมเป็นประชาธิปไตยที่เข็มแข็ง ยั่งยืนและถาวร
นี่เป็นอุปสรรคเล็กๆ น้อย ๆ เท่านั้นครับ
สิ่งที่เราต้องการอยากให้เกิดขึ้น กับสิ่งที่เป็นไปได้มันไม่เหมือนกันครับ การเสนอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดนะครับ นอกจากปลอบใจเราเองเท่านั้น
จงอย่าคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จงสู้คิดในสิ่งที่ทำได้ดีกว่าเราอาจโกรธ โมโห แต่การกระทำจริงๆ มันต้องทำในสิ่งที่ทำได้
การจะทำรัฐประหารตัวเองได้ มันต้องกุมอำนาจทุกอย่างไว้แบบทหารพม่าครับ
ยิ่งช้ความรุนแรง พวกเราก็ยิ่งขาดความชอบธรรมครับ และสุดท้ายก็แพ้เขาอยู่ดี
ตอนนี้สิ่งที่ประชาชนจะทำได้ดีที่สุดคือ การไปกาเบอร์ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชน ในชื่อใหม่ นี่คือหนทางที่เป็นไปได้มากที่สุดครับ และผมเชื่อว่ามันจะออกแบบนี้ครับ เพราะสิ่งที่คาดว่าจะเกิด เมื่อมีการยุบพรรคคือ ตั้งพรรคใหม่ แล้วหานายกฯ ที่เหมาะสม ซึ่งก็ไม่ยากครับ เพราะ สส. พปช. ที่เป็น กรรมการบริหารพรรคมีประมาณ 10 คนเท่านั้นครับ ซึ่งจะต้องสิ้นสภาพ ก็หาคนที่เราคิดว่าจะเอาเป็นนายกฯ มาลงเลือกตั้งแทนคนเหล่านี้ (เช่น นายอุกฤษ์ มงคลนาวิน) เป็นต้น
ทุกคนที่เหลือก็ย้ายไปพรรคใหม่ พรรคชาติไทยซวยหน่อยเพราะ สส.เป็นกรรมการบริหาร ถึง 15 คน ก็ต้องเลือกตั้งซ่อมส่วนนี้ ที่เหลืออาจมาเข้าพรรคใหม่ของ พปช. หรือบางส่วนอาจไป ปชป. แต่คนที่อยู่ในเขตภาคกลางหรือภาคอีสาน หากย้ายไปสังกัดพรรค ปชป. ก็เกิดยากอย่างแน่นอน เมื่อนายบรรหารกับครอบครัว และคนดังในชาติไทย โดนห้ามเล่นการเมืองทั้งหมด ผมเชื่อว่า 15 ตำแหน่ง ของชาติไทยที่เลือกใหม่ พรรคพลังประชาชนในชื่อใหม่ จะกวาดไปได้หมด
เชื่อผมเถอะว่าพรรค พปช. ชื่อใหม่ แม้ไม่ยุบสภาก็ใหญ่กว่าเดิมครับ เพราะจะรวม สส.พรรค มัชฌิมา และชาติไทยมาด้วย และพรรคเพื่อแผ่นดินที่อยู่ในคิวจะต้องโดนยุบต่อไป ก็จะย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชาชนชื่อใหม่เกือบทั้งหมด
" ความเสี่ยงคือ" พวกอำมาตย์ อาจมาซื้อ สส.พรรคพลังประชาชนในช่วงที่กำลังหาพรรคใหม่สังกัด ไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคที่เขาตั้งขึ้นรองรับ แล้วไปจับมือกับ ปชป. ตั้งรัฐบาล แต่ต้องซื้อไปได้ไปไม่ต่ำกว่า 50 คนนะครับ ปชป. จึงจะมีโอกาสตั้งรัฐบาลได้
แต่ สส.ที่ทรยศแบบนี้ จะโดนประชาชนสังหารทิ้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่ครับ แต่หากเห็นสัญญาณไม่ดี เราก็ยุบสภาก็ได้ครับ
หากพวกอำมาตย์ คิดว่าจะทำรัฐประหารแล้วนำเอาระบบ 70/30 มาใช้ ก็เท่ากับ "ร่นเวลาล่มสลายของศักดินาอำมาตยาธิปไตย" ให้เร็วยิ่งขึ้นครับ เพราะคนไทยมีประสบการณ์ กับการต่อต้านระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบมานานแล้ว ตั้งแต่ยุค พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ แล้ว และสุดท้ายก็เกิด รธน.ปี 2540 หากพวกเขาทำอย่างนั้น ก็ต้องทำรัฐประหารก่อน เพื่อเอา รธน. ฉบับใหม่มาใช้ การทำรัฐประหาร หากทำได้พวกเขาทำไปแล้วครับ แต่พวกเขากลัวการต่อต้านจากประชาชน และกลัวการ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากนานาชาติ พวกเขาจึงไม่กล้าทำ
หากไม่ทำรัฐประหาร ก็ต้องแก้ไข รธน. ปี 50 ตามระบบปกติ ซึ่งมันมีความเป็นไปไม่ได้เลยครับ
หากพวกเขาทำรัฐประหาร ก็ยิ่งโดนต่อต้านสูง เชื่อผมเถอะว่า เขาใช้อาวุธสุดท้ายคือ ตุลาการวิวัฒน์ จุดมุ่งหมายคือ "ไม่ต้องการให้ประชาชนเลือกพรรคนิยมทักษิณอีก"
แต่ พวกเขาทำไม่ได้หรอกครับเชื่อเถอะ เพราะพวกเขาวิเคราะห์สังคมไม่แตก วิเคราะห์ไม่กระจ่าง จึงทำผิดพลาดมาตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 แล้ว
0 comments
Post a Comment